top of page
ค้นหา

ไข่ดาวครูช่างภูครามกับการเลือกกลับมาอยู่บ้าน

อัปเดตเมื่อ 11 มี.ค. 2565



"เราชอบภูพานช่วงเดือน 3 ตั้งแต่เดือนมีนาเป็นต้นไป ฝนเริ่มมา ใบไม้เริ่มผลิ จนถึงหน้าฝนเพราะมันมีเห็ดให้เก็บ เราได้เสพอากาศและความสวยในช่วงเช้า มันสวยมากๆ มีหญ้าเพ็กขึ้น มีวิวให้เราสะดุดกับความสวย หมอกตอนเช้า ตอนได้ขึ้นไปเก็บเห็ดจะมีความสุขมากถึงแม้ว่าช่วงนั้นจะทุกข์แค่ไหน เมื่อขึ้นไปมันก็จะมีความสุขมันสดชื่น เราจะเห็นสิ่งที่สวยงามในมุมของเราที่น้อยคนจะได้เห็น ทุกเช้าที่ขับมอเตอร์ไซต์มาทำงานก็รู้สึกว่ามันไม่ต้องศิวิไลอะไรก็ดีมากๆแล้ว เราอินมาก รู้สึกว่ามันจริงมากที่ที่เราอยู่ที่นี่”


ส่วนหนึ่งของความรู้สึกอิ่มเอมใจกับภูพานและความสุขที่ได้พบเมื่อกลับมาอยู่ที่บ้านของไข่ดาว ครูช่างผู้มากความสามารถของภูคราม ระหว่างที่มือกำลังปักผ้าเป็นลวดลายตามจินตนาการ เธอค่อยๆ เล่าเรื่องราวชีวิตให้เราฟังอย่างผ่อนคลาย



ค้นหาความหมายของการได้อยู่


"เราเห็นโอกาสว่าจริงๆ เราไม่จำเป็นต้องอยู่ที่กรุงเทพฯ เพราะการที่ได้อยู่ในชุมชนเรามันก็มีอาชีพ มีภูมิปัญญาที่คนเก่า ผู้เฒ่าเคยทำไว้ ตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่เรา"

ไข่ทำงานกับภูครามมาประมาณ 6 ปีแล้ว ตอนนั้นกลับมาอยู่บ้าน ตกงานจากกทม. กลับมาเลี้ยงลูกด้วย มาดูแม่ด้วย มีช่วงความคิดหนึ่งเราเคยคิดว่าเราจะอยู่กรุงเทพฯ ย้อนกลับไปตอนเข้าไปกรุงเทพฯ เราไม่ได้เรียนต่อนะ จบแค่ม.3 เข้าไปอยู่กรุงเทพกับพี่สาว ไปอยู่ตลาดไท ขายข้าวต้มโต้รุ่ง ย้ายตามพี่สาวไปเรื่อยๆ เปลี่ยนไปทำงานโรงงาน ทำงานจิวเวอรี่ แล้วก็ไปทำงานเป็น TC จนกลับมาอยู่บ้านช่วงหนึ่ง ก็เลยมาของานที่ภูครามทำแค่ช่วงสั้นๆ ได้ทดลองปักผ้าจำได้ว่าชิ้นแรกได้ปักผ้าพันคอ ช่วงแรกๆ ก็ยังไม่อินเพราะเราคิดแค่เรื่องรายได้ เรายังไม่นิ่งกับสิ่งที่ทำอยู่ ตอนนั้นยังอยากกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ อีก

กลับไปช่วงหลังได้ไปทำงานอยู่เคาน์เตอร์เครื่องสำอาง ทำได้ประมาณ 4 เดือน เราเริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีภาวะเครียด กลัว เหมือนตัวเองจะเป็นบ้าเลย จู่ๆ ก็กลัวคน ครั้งหนึ่งตอนกำลังจะรับลูกค้า หัวหน้างานมากำชับกับเราว่าลูกค้าคนนี้ต้องคอยดูแลให้ดีนะ เพราะเขาเป็น VIP พอฟังจบเราก็รู้สึกกลัวจิตตกขึ้นมา ตัวสั่น เราปลีกตัวออกจากตรงนั้นมาดื้อๆ เก็บตัวเองอยู่ห้องเป็นอาทิตย์ แฟนคุยด้วยเราก็หันหลัง เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็รู้สึกหวั่นไหวอยากร้องไห้ออกมา ไม่รู้เลยว่าตัวเองจะเป็นได้ขนาดนั้น พอเวลาผ่านไปเราค่อยๆ ดีขึ้นก็เลยติดต่อเอาของไปคืนเขา แล้วก็กลับมาอยู่บ้านที่ภูพาน

มารู้ภายหลังว่าภาวะที่ตัวเองเป็นตอนนั้น น่าจะเป็นเกี่ยวกับโรควิตกกังวล เป็นอาการหนึ่งของคนที่เป็นโรคซึมเศร้า พอกลับมาอยู่บ้าน กลับมาเลี้ยงลูกตอนนั้นลูกน่าจะประมาณ 2 ขวบ ลูกเราก็มีภาวะไม่พูด น้องเงียบ ดูแต่โทรทัศน์และพูดไม่เป็นภาษาไม่สื่อสารกับเรา แต่พอกลับมาอยู่บ้านทุกอย่างมันก็ค่อยๆ คลี่คลาย ทั้งเราทั้งลูก อารมณ์มันก็ดีขึ้น



ก่อนหน้านั้นที่ใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเทพฯ คิดแค่ว่าเราจะใช้ชีวิตแบบนั้นเราจะหาเงินแบบนั้น จนวันหนึ่งที่กลับมาอยู่บ้าน เคยตั้งคำถามว่าในชนบทมันจะสร้างรายได้ให้เราได้เหรอ จนพอกลับมาอยู่แล้วเริ่มมีรายได้ เราเห็นโอกาสว่าจริงๆ เราไม่จำเป็นต้องอยู่ที่กรุงเทพฯ เพราะการที่ได้อยู่ในชุมชนเรามันก็มีอาชีพ มีภูมิปัญญาที่คนเก่า ผู้เฒ่าเคยทำไว้ ตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่เรา


กลับมาอีกครั้งพร้อมกับการมีเพื่อนๆในชุมชน

กลับมาหาภูครามอีกครั้ง


"ชิ้นแรกของเราก็เพิ่มต้นไม้ มีดวงดาว ท้องฟ้า ในผ้าพันคอ ในผ้าคลุมไหล่ แล้วก็เอาการปักดอกไม้มาปรับเป็นดวงดาว เราก็คิดว่านี่คือสิ่งที่เราเห็น นี่คือการเลียนแบบในตอนนั้นเราเลียนแบบธรรมชาติ "



มาทำงานกับภูครามอีกครั้ง เราปักผ้ากับภูครามต่อและเริ่มมีรายได้จากตรงนั้นก็ดีใจมากที่เราหาเงินได้ ช่วงแรกเป็นการปักดอกไม้ไม่กี่อย่าง ป้าๆ บอกว่าถ้าเห็นดอกไม้อะไรน่าสนใจก็ลองเอามาปักดู เเราก็พยายามลองปักดอกหลายๆแบบ งานปักของตัวเองแรกๆ ก็ลองผิดลองถูก มีความเรียบร้อยในการเก็บกลีบใบ กลีบดอก ยังไม่ได้พัฒนาอะไรมาก จากนั้นก็ฝึกฝนมาเรื่อยๆ ซึ่งทุกคนมีพัฒนาการกันหมด บางคนก็สามารถปักดอกที่ตัวเองเห็นมา แล้วก็เอามาปักบนผ้า ถ่ายทอดออกมาได้มันก็ไปอีกขั้นหนึ่ง


ขั้นตอนของงานปักที่นี่แรกๆ ก็จะมีแต่ดอกไม้ มีก้าน หลังๆ พี่เหมี่ยวก็บอกว่าให้ลองเลียนแบบธรรมชาติในชุมชนที่เราเห็นหลายคนปักถ่ายทอดออกมามีความแตกต่างกันไป เช่น ชิ้นแรกของเราก็เพิ่มต้นไม้ มีดวงดาว ท้องฟ้า ในผ้าพันคอ ในผ้าคลุมไหล่ แล้วก็เอาการปักดอกไม้มาปรับเป็นดวงดาว เราก็คิดว่านี่คือสิ่งที่เราเห็น นี่คือการเลียนแบบในตอนนั้นเราเลียนแบบธรรมชาติ แล้วพอลองผิดลองถูก มันก็ได้หลากหลายอารมณ์​ เช่น เป็นชุมชน เป็นหมู่บ้าน สิ่งที่เป็นความสุขในชุมชนเราก็เอามาใส่


ผลงานไข่ดาวเล่าเรื่องผ่านดาวของภูคราม

งานปักผ้าคือความสนุกและท้าทาย


"เราก็ปักดอกไม้ในมุมที่เราเห็นแต่ละฤดู ในแบบของเรา "


เรื่องงานปักผ้า บางคนกลัวกับโจทย์ใหม่ๆ ทำให้มีความกังวล แต่สำหรับไข่ ไข่ว่ามันท้าทาย เราเป็นคนชอบความท้าทายชอบความตื่นเต้น รู้สึกว่าผิดก็ไม่เป็นไรเพราะเราเลือกทำแล้ว บางทีเวลาเราทำแล้วขาดความมั่นใจก็จะถามพี่เหมี่ยวนี่แหละว่าโอเคไหม หรือควรเติมอะไร

เรารู้สึกว่างานทุกชิ้นพิเศษหมดนะ รู้สึกมีพลังกับทุกงาน เช่น พี่เหมี่ยวให้โจทย์ 3 ฤดู​ เราก็ปักดอกไม้ในมุมที่เราเห็นแต่ละฤดู ในแบบของเรา อาจจะมีดอกไม้ที่คนอื่นเคยคิดปักผสมลงไปบ้าง

เวลาพี่เหมี่ยวให้โจทย์ก็จะมีทรงเสื้อที่กำหนดมา เราก็จะเอามาคิดต่อว่าทรงแบบนี้ใส่อะไรถึงจะพอดี ถึงจะสวย ปักยังไงถึงจะดึงดูดสายตา แล้วการเลือกสีต่างๆของฝ้ายปักก็สำคัญ ไม่ใช่ว่าเราใช้สีเดียวในการปักมันต้องคิดหมด การปักให้มีความเรียบร้อยเก็บงานก็สำคัญ มันทำให้มีเสน่ห์และสวยขึ้น งานเราส่วนใหญ่จะวางจุดใหญ่ๆ ก่อนว่าจะใส่อะไร จะปักอะไร เช่น งานวิถีเราจะไม่ทิ้งการปักแม่น้ำ แล้วรายละเอียดเล็กๆ อื่นๆ เราก็ค่อยๆ เติมเข้าไป


ผลงานไข่ดาวสำหรับการเดินแฟชั่น


ตอนแรกไข่ยังไม่ได้เป็นพนักงานของภูครามเต็มตัว ยังรับงานอิสระรับงานเขาไปทำ แต่พอช่วงหลังได้เข้าไปทำประจำกับพี่เหมี่ยว บทบาทหน้าที่เราก็เยอะขึ้น ช่วงแรกทีมงานก็ยังไม่มีใคร มีแค่พี่เหมี่ยว มีแม่ แล้วก็เรา ช่วงลุยๆ ยุคแรกของภูครามเราก็เป็นทุกอย่างทำทุกอย่างของภูคราม (หัวเราะ) ทั้งรีดผ้า ปล่อยงาน รับงานจากพี่เหมี่ยวแล้วบอกช่างปักว่าเราจะสื่อสารอะไรในแต่ละคอลเลคชัน แล้วเราก็เอาไปถ่ายทอด จัดสีฝ้ายให้ช่างปักอีกที นอกจากนั้นก็มีการคอมเม้นต์งานบ้าง โดยอ้างอิงผ่านพี่เหมี่ยวนะ เพราะช่างปักแต่ละคนเขาคาดหวังและฟังพี่เหมี่ยวมากกว่าเรา นอกจากนั้นก็จะมีการ ดูแลขั้นตอนทำความสะอาดผ้า ตั้งแต่การซัก การรีด เป็นการตรวจเช็คคุณภาพของผ้าของสีย้อมไปด้วย จริงๆ ก็สนุกในทุกขั้นตอนทุกงาน แต่ก็มีความกังวลในการทำแต่ละอย่างเหมือนกัน รู้สึกว่ายังไม่เต็มที่ในแต่ละขั้นตอนที่ได้รับมอบหมาย เพราะทุกขั้นตอนมันต้องใช้เวลาทำอย่างละเอียด เราทำหลายส่วนเลยไม่ได้โฟกัสมันมากเท่าที่ควร ในการออกแบบงาน ออกแบบลายปัก แล้วก็ถ่ายทอดต่อให้ช่าง

เราเลยรู้สึกว่าพี่เหมี่ยวเก่งมากนะในการทำงาน ในการแบ่งแต่ละส่วนได้ ตั้งแต่เรื่องการขายของออนไลน์ จะทำยังไงกับทีมงานแต่ละคนแล้วสื่อสารออกไปได้ แต่เราทำแบบนั้นไม่ได้เลย เพราะพอไปโฟกัสเรื่องใดเรื่องหนึ่งอีกเรื่องก็จะหลุดทันที บางทีทำให้งานไม่เดิน คิดไม่ออก อะไรแบบนี้ อาจจะปักงานได้แต่มันจะไม่ค่อยบรรเจิดเท่าไหร่


ฝีเข็มการปักดอกติ้วที่ละเมียดละไมของไข่ดาว

สิ่งสำคัญในการทำงานกับภูครามที่เราจะต้องมี แม้เราทำงานหลายส่วน แต่เราต้องตีโจทย์ในแต่ละส่วนให้ออก เช่น การถ่ายทอดส่งต่อให้ช่างคนอื่น บางทีเราต้องทดลองก่อนเพื่อนว่ามันจะเป็นประมาณไหน อันนี้ก็สำคัญมันท้าทายเรานะ ผลที่ตามมาก็ต้องมาลุ้นว่าเพื่อนๆ จะปักงานได้ตามที่โจทย์ที่อยากให้เป็นไหม อันนี้จะเป็นในช่วงแรกๆ ที่เรายังต้องปรับจูนกันอยู่ แต่ช่วงหลังๆ มันเริ่มง่ายขึ้น เพราะเริ่มเห็นแนวทางการทำงานในทิศทางเดียวกัน

ส่วนตัวของเราเองอย่างที่บอกว่าเรายังตันในเรื่องของการปักเพราะเราดูงานหลายส่วนบางทีไม่ได้โฟกัส ก็ยังพยายามค้นหาตัวเองในจุดนี้อยู่เรายังทำได้แค่ทำตามโจทย์อย่างตรงไปตรงมา แต่ยังไม่ค้นพบรายละเอียดหรือการคิดดอกในแบบของตัวเอง มันก็เลยยังท้าทายในการทำงานของตัวเองอยู่เรื่อยๆ เวลาที่เราเครียดกับเรื่องอื่นๆแล้วมาปักชิ้นงาน ไข่ก็ยังพอแยกแยะได้นะว่ามันคนละส่วนกันเราจะไม่ให้มันมาปนกัน ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องอารมณ์สักเท่าไหร่ หรืออาจจะมีบ้าง แต่งานมันจะบอกภาวะอารมณ์ของเราขณะนั้น เราก็จะเห็นตัวเองผ่านงาน


ฤดูกาลใบไม้เริ่มเปลี่ยนสี


มากกว่าการทำงานผ้าคือการได้มองอย่างลึกซึ้งขึ้น


"มันไม่ใช่แค่การปักดอกไม้ มันเป็นการเล่าเรื่องและรับรู้ไปจนถึงจิตวิญญานว่าเวลาที่เราชอบหรืออยากจะอนุรักษ์อะไรเราจะได้เห็นมุมมองเหล่านั้น เราได้เปิดมุมมองมากกว่าการปักผ้า เช่น เราหลงใหลในบรรยากาศ ในชุมชน ป่าเขา เรารักธรรมชาติเรามองอะไรมันก็สวยไปหมด"


ตอนแรกที่ทำเรายังไม่ได้รู้สึกลึกซึ้งกับภูครามเท่าตอนนี้ ตอนนั้นเราคิดว่ามันได้เงินมีรายได้ และได้อยู่ที่บ้าน แต่มันผสมกับความชอบ เราคิดว่ามันเหมือนงานอาร์ท เราชอบวาดรูป แล้วเราได้ถ่ายทอดเราเลยชอบตรงนี้ ยังไม่ได้ลึกซึ้งว่าภูครามคืออะไร จนหลังๆมา เราเห็นพี่เหมี่ยวพูดและสื่อสารตลอดว่าเรามีเป้าหมายอยากทำอะไร อยากให้เราเข้าใจอะไรในการทำงาน แล้วก็มีกิจกรรมให้เราตลอด ไปทำงานอยู่ในชุมชน มีงานปลูกป่า เราก็เห็นอะไรในมุมที่ลึกขึ้นมากกว่างานปักผ้าของภูคราม มันไม่ใช่แค่การปักดอกไม้ มันเป็นการเล่าเรื่องและรับรู้ไปจนถึงจิตวิญญานว่าเวลาที่เราชอบหรืออยากจะอนุรักษ์อะไรเราจะได้เห็นมุมมองเหล่านั้น เราได้เปิดมุมมองมากกว่าการปักผ้า เช่น เราหลงใหลในบรรยากาศ ในชุมชน ป่าเขา เรารักธรรมชาติเรามองอะไรมันก็สวยไปหมด สิ่งที่เราสังเกตเห็นข้างลำห้วยต้นไม้ยังสมบูรณ์​มาก แต่พอวันหนึ่งเราได้ยินว่าจะมีโครงการเข้ามาพัฒนาเข้ามาขุดลอก หรือตัดต้นไม้ เรายังนึกเสียดาย เพราะเรามองว่ามันสมบูรณ์อยู่แล้ว น้ำก็มีอยู่ ความร่มรื่นก็มีอยู่ ไม่อยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในลักษณะนี้ ต้นไม้กว่าจะโต ในเชิงการใช้ชีวิตสมบูรณ์นั้นเรามีอาหาร ที่เราหาอยู่หากินได้จากตรงนั้น ถ้ามันเปลี่ยนแปลงเราจะหากินจากตรงไหน กี่ปีมันถึงจะสมบูรณ์เหมือนเดิม มันก็เปลี่ยนความคิดเราไปเยอะ




ดู 346 ครั้ง0 ความคิดเห็น

コメント


bottom of page